บันทึกการบริหาร 8
วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 8:30 - 11:30 น.
- เนื้อหา
- นำเสนอคำคม
- นำเสนอวิจัย (รายกลุ่ม)
กลุ่มที่ 1 (กลุ่มตนเอง)
งานวิจัย เรื่อง รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มี ประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี AN ADMINISTRATIVE MODEL FOR AN EFFECTIVE EARLY CHILDHOOD PRIVATE SCHOOL IN NONTHABURI PROVINCE
การศึกษาระดับ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัย ศรีปทุม
ผู้วิจัย นางเรขา ศรีวิชัย
ปีการศึกษา 2554
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชน
ระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลใน จังหวัดนนทบุรี
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชน
ระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ในจังหวัดนนทบุรี
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
ที่มีประสิทธิผล
2. สามารถนำผลการวิจัยมาใช้ในการพัฒนา / ปรังปรุงดำเนินงาน
สถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
ด้านเนื้อหาผู้วิจัยนำแนวคิดของทฤษฎีระบบของ Hoy &Miskel
(2008, p. 292) มาปรับปรุงเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยเรื่องรูปแบบ
การบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งประกอบด้วย
1. ปัจจัยนำเข้า (Inputs) ได้แก่
1.1 สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา
1.2 การสนองตอบความต้องการและแหล่งเรียนรู้ของชุมชน
1.3 นโยบายของรัฐบาล
1.4 นโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา
1.5 ผู้เรียน
1.6 ผู้บริหาร และครู
1.7 จรรยาบรรณวิชาชีพของครู
1.8 จรรยาบรรณวิชาชีพของผู้บริหาร
1.9 งบประมาณ
2. กระบวนการแปลงสภาพ (Transformation process) ได้แก่
2.1 การบริหารจัดการหลักสูตร
2.2 กิกรรมการเรียนการสอน
2.3 การวัด และ ประเมินผล
3. ผลผลิต (Outputs)ได้แก่
3.1 ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
3.2 ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียน
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร คือ ผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้ปกครองในสถานศึกษา
ปฐมวัยเอกชนใน จังหวัดนนทบุรี จำนวน 3แห่ง
2. กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารครูบุคลากรและผู้ปกครองในสถานศึกษา
เอกชนระดับประถมวัยในจังหวัดนนทบุรีที่สุ่มแบบเจาะจงตาม
เกณฑ์ที่กำหนดจำนวน 3 แห่ง
3. ระยะเวลาในการศึกษาวิจัยเริ่มต้น ปีการศึกษา 2554
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ >>รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย
ตัวแปรตาม>>ประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี
นิยามศัพท์เฉพาะ
รูปแบบ (Model) หมายถึง องค์ประกอบแผนภูมิโครงสร้างลำดับขั้นตอนการบริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล
ปัจจัยป้อน (Input) หมายถึง ทรัพยากรที่ใช้ในการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล
กระบวนการแปลงสภาพ ( Transformation process ) หมายถึง ขั้นตอนและวิธีการแปลงสภาพระบบสังคมมาใช้ในสถานศึกษาได้แก่การบริหารจัดการหลักสูตรการเรียนการสอนการวัดผลและประเมินผล
ผลผลิต (Outputs) หมายถึง ผลจากการนำปัจจัยนำเข้ามาสู่กระบวนการแปลงสภาพจนได้สิ่งของหรือบริการที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดประสิทธิผล ( Effectiveness) หมายถึง การบริหารจัดการที่องค์การหรือหน่วยงานดำเนินไปจนบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
สมมุติฐานการวิจัย
1.รูปแบบการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยให้ประสิทธิผลที่ดีขึ้น
2. สถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยอื่น ๆ พัฒนาการบริหารจัดการให้ดีขึ้นได้
แนวคิดทฤษฏีทางการบริหาร
ตอนที่ 1 แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบ
1.1 ความหมายของรูปแบบ
1.2 องค์ประกอบของรูปแบบ
1.3 การสร้างรูปแบบ
1.4 การพัฒนารูปแบบ
1.5 คุณลักษณะของรูปแบบที่ดี
1.6 การตรวจสอบรูปแบบ
ตอนที่ 2 แนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีระบบ
2.1 ทฤษฎีระบบ (System Theory )
2.1.1 ความหมายของระบบ
2.1.2 ประเภทของระบบ
2.1.3 วิธีระบบ หรือ วิถีระบบ (System Approach )
2.1.4 องค์ประกอบของระบบ
2.1.5 การวิเคราะห์ระบบ
2.1.6 การจัดระบบ
2.2 แนวคิด และ ทฤษฎีระบบ
2.2.1แนวคิดและทฤษฎีระบบโรงเรียนในฐานะระบบสังคม
ของ Hoy &Miskel
2.2.2แนวคิดและทฤษฎีการบริหารโรงเรียนเชิงระบบ
ของ Lunenburg & Ornstein
ตอนที่ 3 แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิผล
3.1 ความหมายของประสิทธิผล
3.2 ประสิทธิผลองค์การ
3.3 เกณฑ์ที่ใช้วัดประสิทธิผลองค์การ
3.4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน
3.5 การประเมินประสิทธิผลของโรงเรียน
3.6 วิธีการประเมินประสิทธิผลของโรงเรียน
3.7 ประสิทธิผลการบริหารโรงเรียน
ตอนที่ 4 แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย
4.1 แนวคิด และ หลักการการจัดการศึกษาปฐมวัย
4.2 ความหมาย และ ความสำคัญของการศึกษาปฐมวัย
4.3 ขอบข่ายของการจัดการศึกษาปฐมวัย
4.4 การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย
4.5 นโยบายของรัฐเกี่ยวกับการศึกษาปฐมวัย
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
-ผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้ปกครองในสถานศึกษาปฐมวัยเอกชนในจังหวัดนนทบุรี จำนวน 3 แห่ง
กลุ่มตัวอย่าง
-ผู้บริหารครูบุคลากรและผู้ปกครองในสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยในจังหวัดนนทบุรีที่สุ่มแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 3 แห่ง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
-แบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรีที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3 คน โดยมีข้อคำถาม จำนวน 80 ข้อ
- แบบสอบถามที่ใช้ในการสอบถาม ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 944 คน จำนวน 122 ข้อ
-แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม เพื่อตรวจสอบร่างรูปแบบ
-แบบประเมินความเหมาะสมในการนำรูปแบบไปใช้
การดำเนินการวิจัย
ขั้นตอนที่ 1
ศึกษาข้อมูลการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล
ขั้นตอนที่ 2
การยกร่างรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล
ขั้นตอนที่ 3
ตรวจสอบรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล
ขั้นตอนที่ 4
ประเมินรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล
การวิเคราะห์ข้อมูล
งานวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ ดังนั้นการนำเสนอผลการวิจัยจึงแบ่งออกเป็น 4 ตอน คือ
ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัจจัยนำเข้าจากการศึกษาเอกสาร
ตอนที่ 2 การวิเคราะห์กระบวนการบริหารเชิงระบบ และผลผลิต
2.1 ผลการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกของผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
2.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถาม
ตอนที่ 3 การสังเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ และ จากแบบสอบถาม
ตอนที่ 4 รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ค่าความเชื่อถือได้ของแบบสอบถามใช้ค่า 𝛼- Coefficient
การวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องระหว่างคำถามกับวัตถุประสงค์
ใช้ค่า IOC ( Index of Congruence )
สรุปผลการวิจัย
1.รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษา เอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ประกอบด้วย
ปัจจัยนำเข้าที่มีองค์ประกอบย่อย คือ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาการตอบสนองความต้องการของชุมชนและแหล่งเรียนรู้ในชุมชน นโยบายของรัฐบาล นโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้เรียน ผู้บริหารและครู จรรยาบรรณวิชาชีพ ของครู จรรยาบรรณวิชาชีพ ของผู้บริหาร และ งบประมาณ
ปัจจัยด้านกระบวนการนั้น ประกอบด้วย การบริหารจัดการหลักสูตรการเรียน การสอน และการวัดและประเมินผลด้านผลผลิต คือผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน และความพึงพอใจ ของผู้ปกครองนักเรียน
2.จากการประเมินรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ในจังหวัดนนทบุรี พบว่า รูปแบบนี้มีประโยชน์มีความสอดคล้องและความเป็นไปได้ ส่วนความเหมาะสมจำเป็นต้องพัฒนาจากขนาดของสถานศึกษารวมทั้งสถานศึกษาจะต้องแสดงความเป็น เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ในการบริหารจัดการให้ชัดเจนด้วย
ข้อเสนอแนะ
1. เนื่องจากวิธีการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยมีอยู่อย่างหลากหลายควรมีการนำวิธีการบริหารงานเหล่านั้น มาเปรียบเทียบกันเพื่อค้นหาวิธีการบริหารจัดการวิธีใดที่เหมาะสมกับการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในบริบทของประเทศไทยและสะดวกต่อการนา ไปใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยมากที่สุด
2. ควรทำการวิจัยเกี่ยวกับตัวแปรของปัจจัยนาเข้าและกระบวนการแปลงสภาพที่มีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
จากการศึกษาวิจัย รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี ความรู้ที่ได้จากวิจัย จะเห็นได้ว่าทรัพยากรที่มีความสำคัญในการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาการตอบสนองความต้องการของชุมชน แหล่งเรียนรู้ในชุมชน นโยบายของรัฐบาล นโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้เรียน ผู้บริหาร ครู และงบประมาณ
นอกจากนี้ยังมีระบบโครงสร้างของสถานศึกษาคุณลักษณะของผู้เรียนคุณลักษณะของครู คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษา คุณลักษณะของบุคลากรทางการศึกษา ระบบวัฒนธรรม ระบบการเมือง การเรียนการสอน ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน จรรยาบรรณวิชาชีพครู จรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหาร คุณธรรมจริยธรรม และ ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียน สิ่งสำคัญเหล่านี้เป็นส่วนย่อยในการบริหารสถานศึกษาที่ได้รับจากกาศึกษาวิจัย
เอกสารอ้างอิง
นางเรขา ศรีวิชัย.(2554). รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มี ประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี
กลุ่มที่ 2
งานวิจัย เรื่องการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา ในจังหวัดนครสวรรค์
การศึกษา ระดับปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผู้วิจัย พระสกล ฐานธมฺโม (อินทร์คล้าย)
ปีการศึกษาพุทธศักราช ๒๕๕๖
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 ระบบการบริหารงานทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดความไม่สอดคล้องและทันต่อความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคโลกาภิวัตน์
ประเด็นที่ 2 ผู้บริหารขาดทักษะความรู้ความเข้าใจในหลักการบริหาร
ประเด็นที่ 3 ความสามารถของผู้บริหารในการนําหลักธรรมาภิบาล ประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน
ประเด็นที่ 4 ความสำคัญของการบริหารเป็นเครื่องมือที่ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จขององค์กร
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
๑ เพื่อศึกษากระบวนการ การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
๒ เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและผู้บริหารต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์โดยจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล
๓ เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
๑ ทําให้ได้ทราบถึงกระบวนการการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
๒ ทําให้ได้ทราบถึงความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์โดยจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล
๓ ทําให้ได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์เฉพาะผู้บริหารและครูผู้สอนในสถานศึกษาเขตอําเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์
- ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาของการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารและครูในสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ทั้ง ๖ ด้านหลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
- ขอบเขตด้านระยะเวลา ระยะเวลาในการดําเนินการวิจัย ตั้งแต่ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึงเดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมระยะเวลา ๗ เดือน
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
สถานภาพส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตําแหน่ง ระยะเวลาในการดํารงตําแหน่ง
ตัวแปรตาม
การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร สถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ทั้ง ๖ ด้าน หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า
นิยามศัพท์เฉพาะ
การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล หมายถึง การดําเนินการในการ ทํางานด้านต่าง ๆ ทั้ง ๖ ด้านของสถานศึกษา คือ ๑. งานวิชาการ ๒. งานธุรการ การเงินและพัสดุ ๓. งานบุคลากร ๔. งานกิจการนักเรียน ๕. งานอาคารสถานที่ และ ๖. งานความสัมพันธ์ระหว่าง โรงเรียนกับชุมชน ตลอดจนอํานวยการเพื่อส่งเสริม และปรับปรุงการดําเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โดยใช้หลักการบริหารจัดการบ้านเมืองและสังคมที่ดี(Good Governance) มีความถูกต้องเป็นธรรม สุจริตโปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลการวิจัยครั้งนี้ถือองค์ประกอบตามระเบียบสํานัก นายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมือง และสังคมที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่ง ประกอบด้วย หลักการสําคัญ ๖ ประการ ได้แก่
๑. หลักนิติธรรม หมายถึง ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่ใช้เป็นข้อตกลงของหน่วยงานโดยที่ระเบียบและหลักเกณฑ์การบังคับใช้นั้นต้องเป็นธรรมเป็นที่ยอมรับจากสมาชิก
๒. หลักคุณธรรม หมายถึง หลักปฏิบัติในการทําในสิ่งที่ถูกต้องด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ยึดมั่นในความถูกต้องดีงามบนพื้นฐานของศีลธรรม จริยธรรม
๓. หลักความโปร่งใส หมายถึง การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของข้าราชการในหน่วยงาน โดยปรับปรุงกลไกการทํางานขององค์กรให้มีความโปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์อย่างตรงไปตรงมา
๔. หลักความรับผิดชอบ หมายถึง การตระหนักในสิทธิหน้าที่ความสํานึกใน ความรับผิดชอบต่อสังคมการใส่ใจปัญหาต่างๆ และกระตือรือร้นในการแก้ปัญหา
๕. หลักการมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้บุคลากรในหน่วยงานและ ผู้รับบริการ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากการบริหารงาน หรือการดําเนินการต่าง ๆ ของหน่วยงานได้ร่วมรับรู้ร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมตัดสินใจรวมทั้งร่วมสนับสนุนติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองได้ร่วมตัดสินใจ
๖. หลักความคุ้มค่า หมายถึง การบริหารจัดการโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่าง จํากัดด้วยความประหยัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม
สมมุติฐานการวิจัย
๑ ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีเพศต่างกันมีระดับความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์แตกต่างกัน
๒ ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีอายุต่างกันมีระดับความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์แตกต่างกัน
๓ ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีระดับความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์แตกต่างกัน
๔ ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีตําแหน่งต่างกันมีระดับความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์แตกต่างกัน
๕ ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีระยะเวลาในการดํารงตําแหน่งต่างกันมีระดับความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ แตกต่างกัน
งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
เทเลอร์ (Frederick W Taylor) บิดาแห่งการบริหารหลักเกณฑ์การบริหารซึ่งมีพื้นฐานอยู่ในหลักการ (Principles) ที่สําคัญ ๔ ประการ
ทฤษฎีการบริหารของเฮนรีฟาโย หน้าที่ทาง การบริหาร ๕ ประการ
วิลเลียม โอชิ(William Ouchi) ทฤษฎีZ
ลูเธอร์ กูลิค (Luther Gulick) POSDCORB Model
ฟาโย (Fayol) หลักการในการบริหารจัดการขึ้น ๑๔ ประการ
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ผู้บริหาร และ ครูในสถานศึกษาเขตอําเภอ ชุมแสง สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต ๑ นครสวรรค์ประจําปีการศึกษา ๒๕๕๕ จํานวน ๓๕๒ คน
กลุ่มตัวอย่าง
ผู้บริหาร และ ครูในสถานศึกษาเขตอําเภอชุมแสง สังกัดสํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเขต ๑ ประจําปีการศึกษา ๒๕๕๕ จํานวน ๑๘๗ คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบสอบถาม มี ๓ ตอน
ตอนที่ ๑ แบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา เงินเดือน ประสบการณ์ทํางาน ขนาดของสถานศึกษา ซึ่ง เป็นแบบสอบถามแบบเลือกตอบ (Check List)
ตอนที่ ๒ แบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนตามหลักธรรมาภิบาล ต่อการจัดการศึกษาตามขอบข่ายการบริหารงานของโรงเรียน
ตอนที่ ๓ แบบสอบถามความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงาน สถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนตามหลักธรรมาภิบาลทั้ง๖ด้าน
การดำเนินการวิจัย
1 ศึกษาหลักการทฤษฎีการการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลจากเอกสาร และผลงานการวิจัยที่เคยมีผู้ดําเนินการวิจัยเอาไว้
2 กําหนดกรอบ แนวคิดในการสร้างเครื่องมือการวิจัย
3 กําหนดวัตถุประสงค์ในการสร้างเครื่องมือการวิจัย โดยขอคําปรึกษาจากอาจารย์ที่ ปรึกษาวิทยานิพนธ์
4 สร้างเครื่องมือ
5 เสนอร่างเครื่องมือการวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์และผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไข
6 นําเครื่องมือการวิจัยไปทดลองใช้กับประชากรที่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่จะดําเนินการวิจัยเพื่อหาสัมประสิทธิ์ความเที่ยงของเครื่องมือ
7 ปรับปรุงแก้ไข
8 จัดพิมพ์เครื่องมือฉบับสมบูรณ์
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1 นําแบบสอบถามทั้งหมดมาตรวจสอบความสมบูรณ์ความถูกต้องในการตอบแบบสอบถามแล้วนํามาคัดเลือกฉบับที่สมบูรณ์เพื่อนํามาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูปเพื่อการวิเคราะห์ทางสังคมศาสตร์
2 วิเคราะหข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ (frequency) ค่าร้อยละ (percentage)
3 วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารและครูในสถานศึกษาในด้านหลักธรรมาภิบาลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation)
สรุปผลการวิจัย
๑ ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรร มาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
จากผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษา ตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุก ด้าน อันเนื่องมาจากผู้บริหารและครูผู้สอนมีความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาล ในการบริหารงานและ การทํางานในหน่วยงาน
.๒ การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อการ บริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผูบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์จําแนก ตามปัจจัยส่วนบุคคล ด้าน เพศ, อายุ ระดับการศึกษา, ตําแหน่ง, และระยะเวลาในการดํารงตําแหน่ง
พบว่า ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีเพศ, อายุ, ตําแหน่งปัจจุบัน และระยะเวลาในการดํารงตําแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร สถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน
ข้อเสนอแนะ
๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
๑.๑. การบริหารหน่วยงานและสถานศึกษาโดยนําหลักธรรมาภิบาลมาใช้นั้นผู้บริหารสถานศึกษาควรจะต้องมีการส่งเสริมการเรียนรู้และการทํางานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลทั้ง ๖ ด้านใน สถานศึกษาอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างให้กับครูผู้สอน บุคลากรทุกคนในสถานศึกษา ตลอดจน ชุมชนที่ตั้งของสถานศึกษา
๑.๒ ควรเปิดโอกาสให้บุคลากรในสถานศึกษาและบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิได้มีส่วนร่วมในการ ทํางานร่วมกัน การดําเนินงานต่าง ๆ มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ มีการพัฒนาบุคลากรให้สามารถใช้ ทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพมากที่สุด
๑.๓ ผู้บริหารควรควรให้การสนับสนุนให้ชุมชนหรือบุคลากรในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนเข้ามามีบทบาทในสถานศึกษามากขึ้น
๒ ข้อเสนอแนะสําหรับนําผลการวิจัยไปใช้ในเชิงปฏิบัติ
๒.๑ ควรนําผลการศึกษาในครั้งนี้เป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการวางแผนปฏิบัติงานพัฒนาบริหาร สถานศึกษาให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
๒.๒ ควรนําผลการศึกษาเป็นข้อมูลสารสนเทศแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานศึกษาไม่ว่าจะ เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ผู้ปกครอง ผู้นําชุมชน และบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้องในสถานศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนให้สอดคล้องรับกับแนวคิดการบริหารสถานศึกษา
๒.๓ ควรรายงานผลให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในระดับที่สูงขึ้น ได้ทราบปัญหาต่าง ๆ ของ สถานศึกษา และให้การสนับสนุนสถานศึกษาที่ยังขาดความพร้อมในด้านปัจจัยต่าง ๆ ต่อการพัฒนาสถานศึกษาและอํานวยความสะดวก ในด้านการประสานงานขอความช่วยเหลือจากเครือข่ายผู้ อุปถัมภ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้น
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
ในการนำหลักธรรมาภิบาลไปปรับใช้ผู้บริหารควรมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมาภิบาลทั้ง ๖ ด้านคือ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่าให้ได้เสียก่อน จากนั้นผู้บริหารควรสร้างความเข้าใจให้แก่บุคลากรและการปฏิบัติตนในการทํางานในหน่วยงานเช่นเดียวกัน
เอกสารอ้างอิง /บรรณานุกรม
กลุ่มที่ 3
งานวิจัยเรื่อง รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนA Model of School Administrative Effectiveness for Master School Development to ASEAN Community
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต
(การบริหารการศึกษา)
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผู้วิจัย นายธีระวัฒน์ มอนไธสง
ปีการศึกษา พ.ศ. 2557
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของเศรษฐกิจฐานความรู้ ที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคม
ประเด็นที่ 2 คุณภาพการศึกษาของประชากรเป็นปัจจัยบ่งชี้ความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ประเด็นที่ 3 การจัดการศึกษามีความจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพของประชากร และสำคัญต่อการพัฒนาประเทศขณะที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาคุณภาพของการจัดการศึกษาเพื่อให้มีศักยภาพสามารถที่จะแข่งขันกับนานาประเทศได้
ประเด็นที่ 4 แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียนเกิดจากความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบโดยมุ่งหวังให้เกิดความเสมอภาคของการให้บริการการศึกษาแก่เด็กไทยทุกคนมีความเท่าเทียมกันในคุณภาพของการจัดการศึกษาในโรงเรียน และลดความเหลื่อมล้ำในคุณภาพของผลผลิต
ประเด็นที่ 5 การก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนโรงเรียนที่จะประสบผลสำเร็จเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ซึ่งเป็นผลมาจากองค์ประกอบที่มีประสิทธิผล การเลือกใช้รูปแบบที่ดีที่สุดที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ที่เกิดในขณะนั้น และการคิดค้นพัฒนารูปแบบการบริหารใหม่ ๆ ที่มีการแสดง หรืออธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบสำคัญ ๆ ที่ใช้เพื่อการบริหาร
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
2. เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
3. เพื่อตรวจสอบรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลที่ชัดเจนและเป็นไปได้
2. องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนที่สถานศึกษาอื่นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน จากการศึกษาค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎี ตลอดจนเอกสาร และงานวิจัย
ต่าง ๆ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตเนื้อหา ดังนี้
1. นโยบายด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประกอบด้วย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553)
1.1 นโยบายที่ 1 การเผยแพร่ความรู้ข้อมูลข่าวสาร และเจตคติที่ดีเกี่ยวกับอาเซียน
1.2 นโยบายที่ 2 การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะสม
1.3 นโยบายที่ 3 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา
1.4 นโยบายที่ 4 การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีการศึกษาในอาเซียน
1.5 นโยบายที่ 5 การพัฒนาเยาวชนเพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
2. องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มี สรุปได้ 9 หัวข้อสำคัญได้แก่
- ภาวะผู้นำ
- ความคาดหวังสูง
- การมีวิสัยทัศน์ และเป้าหมายที่ชัดเจน
- การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นวิชาการ
- กระบวนการจัดการเรียนการสอน
- บรรยากาศสภาพแวดล้อมขององค์การที่เอื้อต่อการเรียนรู้
- การนิเทศกำกับติดตามผล
- การมีส่วนร่วมของชุมชน/ผู้ปกครอง และ
- การพัฒนาวิชาชีพครู
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
- องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษา 9 ประเด็นได้แก่
1) ภาวะผู้นำ
2) ความคาดหวังสูง
3) การมีวิสัยทัศน์และ เป้าหมายที่ชัดเจน
4) การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นวิชาการ
5) กระบวนการจัดการเรียนการสอน
6) บรรยากาศสภาพแวดล้อมขององค์การที่เอื้อต่อการเรียนรู้
7) การนิเทศกำกับติดตามผล
8) การมีส่วนร่วมของชุมชน/ผู้ปกครอง และ
9) การพัฒนาวิชาชีพครู
ตัวแปรตาม
- รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล
นิยามศัพท์เฉพาะ
การบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล หมายถึง ความสามารถในการบริหารงานในโรงเรียนด้วยความเป็นมืออาชีพของครู และผู้บริหาร ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารงานของโรงเรียนทั้ง 4 งาน คือ
1) การบริหารงานวิชาการ
2) การบริหารงานงบประมาณ
3) การบริหารงานบุคคล และ
4) การบริหารงานทั่วไป
รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล หมายถึง รูปแบบการบริหารโรงเรียนรูปแบบหนึ่งของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อันประกอบด้วยองค์ประกอบหลักของกระบวนการบริหารที่มีความสัมพันธ์ และเกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารงานของโรงเรียนทั้งสี่งาน คือ
1) การบริหารงานวิชาการ
2) การบริหารงานงบประมาณ
3) การบริหารงานบุคคล และ
4) การบริหารงานทั่วไป
ประชาคมอาเซียน (Association of South East Asian Nations ) หมายถึง การรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ รัฐบรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชาสาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศในทุกด้าน
โรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน หมายถึง โรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เข้าร่วมกิจกรรมโครงการพัฒนาประชาคมสู่อาเซียนโดยคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเพื่อพัฒนาความพร้อม และศักยภาพ ในการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน เป็นศูนย์การเรียนรู้อาเซียน จำนวน 68โรงเรียน แบ่งเป็นโรงเรียน 3 รูปแบบ คือ โรงเรียน Sister School จำนวน 30 โรง โรงเรียน Buffer School จำนวน 24 โรง และโรงเรียน ASEAN Focus School จำนวน 14 โรง องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล หมายถึง องค์ประกอบในการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล ซึ่งประกอบด้วยเก้าองค์ประกอบ คือ
ประชาคมอาเซียน (Association of South East Asian Nations ) หมายถึง การรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ รัฐบรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชาสาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศในทุกด้าน
โรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน หมายถึง โรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เข้าร่วมกิจกรรมโครงการพัฒนาประชาคมสู่อาเซียนโดยคัดเลือกโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเพื่อพัฒนาความพร้อม และศักยภาพ ในการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน เป็นศูนย์การเรียนรู้อาเซียน จำนวน 68โรงเรียน แบ่งเป็นโรงเรียน 3 รูปแบบ คือ โรงเรียน Sister School จำนวน 30 โรง โรงเรียน Buffer School จำนวน 24 โรง และโรงเรียน ASEAN Focus School จำนวน 14 โรง องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล หมายถึง องค์ประกอบในการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล ซึ่งประกอบด้วยเก้าองค์ประกอบ คือ
1) ภาวะผู้นำ
2) ความคาดหวังสูง
3) การมีวิสัยทัศน์ และ เป้าหมายที่ชัดเจน
4) การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นวิชาการ
5) กระบวนการจัดการเรียนการสอน
6) บรรยากาศสภาพแวดล้อมขององค์การที่เอื้อต่อการเรียนรู้
7) การนิเทศกำกับติดตามผล
8) การมีส่วนร่วมของชุมชน/ผู้ปกครอง และ
9) การพัฒนาวิชาชีพครู
สมมุติฐานการวิจัย
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อคำถามของการวิจัยผู้วิจัยจึงตั้งสมมุติฐานของการวิจัย ดังนี้
1. องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนเป็นพหุองค์ประกอบ
2. รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนเป็นพหุองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความเหมาะสม
3. กลุ่มโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนมีองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล ที่เด่นชัดแตกต่างกัน
แนวคิดทฤษฏีทางการบริหาร
แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล
Robbins (1999) เสนอว่าวิธีวัดประสิทธิผลขององค์การมีอยู่สี่วิธีด้วยกัน คือ 1) วัดจากความสามารถขององค์การในการบรรลุเป้าหมาย 2) วัดโดยอาศัยความคิดระบบ 3) วัดจากความสามารถขององค์การในการชนะใจผู้มีอิทธิผล และ4) วัดจากค่านิยมที่แตกต่างกันของสมาชิกองค์การ
Edmonds (1979) ได้เสนอแนวคิดที่นำไปสู่ความเป็นโรงเรียนที่มีประสิทธิผลด้วยปัจจัย 5 ประการ คือ 1. ภาวะผู้นำที่แข็งแกร่งของผู้บริหาร 2. ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านทักษะพื้นฐาน 3. สภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่สะอาดเรียบร้อยและปลอดภัย 4. ความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียนในระดับสูง 5. การเฝ้าติดตามประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
Pierce (1991) ได้วิเคราะห์ลักษณะการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล ในปี ค.ศ. 1991พบว่ามีลักษณะ ดังนี้1. การให้ความเคารพกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม 2. การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่เน้นการสร้างครูที่ช่วยเหลือนักเรียนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม 3. หลักสูตรที่เน้นการ บูรณาการและพัฒนาได้มากกว่าทักษะพื้นฐาน 4. การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความร่วมมือในการวางแผนกับครู 5. การมีส่วนร่วมในการดูแลนักเรียนระหว่างครูและผู้ปกครอง
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
บุคลากรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน จำนวน 68 โรง ประกอบด้วยโรงเรียนประเภท Sister school จำนวน 30 โรง โรงเรียนประเภท Buffer school จำนวน 24 โรงและโรงเรียนประเภท ASEAN focus school จำนวน 14 โรง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553)
กลุ่มตัวอย่าง
ผู้อำนวยการโรงเรียน และรองผู้อำนวยการโรงเรียนหรือครูที่เป็นหัวหน้างานทั้งสี่งานในโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนจำนวน 68 โรง ประกอบด้วย โรงเรียนประเภท Sister school จำนวน 30 โรง โรงเรียนประเภทBuffer school จำนวน 24 โรง และโรงเรียนประเภท ASEAN focus school จำนวน 14 โรง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553) จำนวนทั้งสิ้น 340 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามจำแนกออกเป็นสามตอน มีรายละเอียด ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา
ตำแหน่งที่รับผิดชอบ มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ
ตอนที่ 2 เป็นคำถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบ
การพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน มีลักษณะเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ของลิเคิร์ท (1961) สอบถามระดับการปฏิบัติตามสภาพที่เป็นจริง 5 ระดับ ดังนี้
ระดับ 5 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงมากที่สุด
ระดับ 4 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงมาก
ระดับ 3 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงปานกลาง
ระดับ 2 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงน้อย
ระดับ 1 หมายถึง การปฏิบัติตรงสภาพที่เป็นจริงน้อยที่สุด
ตอนที่ 3 เป็นคำถามเกี่ยวความคิดเห็น และข้อเสนอแนะอื่นๆ เป็นคำถามปลายเปิด
การดำเนินการวิจัย
ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
1.ขอหนังสือจากคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการเชิญผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย หนังสือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการทดลองแบบสอบถาม (try out) และหนังสือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัยประกอบการทำวิทยานิพนธ์
2. เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามไปยังตัวอย่างทางไปรษณีย์ และรอการตอบกลับทางไปรษณีย์
3. ในกรณีที่ยังไม่ได้รับแบบสอบถามคืนตามเวลาที่กำหนด ผู้วิจัยได้ส่งแบบสอบถามไปให้ผู้บริหารโรงเรียนซ้ำอีก และ ขอความร่วมมือส่งคืนทางไปรษณีย์ จากการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยส่งแบบสอบถามจำนวน 340 ได้รับกลับคืนมา 308 ฉบับ เมื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของการตอบแบบสอบถามแล้วใช้ได้ทั้ง 308 ฉบับคิดเป็นร้อยละ 90.59 ผู้วิจัยจึงนำแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์ทั้ง 308 ฉบับมาทำการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้ใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากแบบสอบถาม ผู้วิจัยทำการประมวลผลข้อมูลทางสถิติโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป
1. การวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพทั่วไปของแบบสอบถาม ประกอบด้วย เพศ อายุ วุฒิการศึกษา ตำแหน่งที่รับผิดชอบ และประสบการณ์ในการรับผิดชอบงาน โดยใช้ค่าความถี่ค่าร้อยละ
2. ค่าสถิติพื้นฐานของตัวแปรในการวิจัย ใช้ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าความเบ้ ค่าความโด่ง และค่าความแปรปรวน
3. การวิเคราะห์องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยวิธี factor analysis ประเภท exploratory factor analysis ที่หมุนแกนโดยวิธี orthogonal rotation สกัดปัจจัยของตัวแปรโดยวิธี principal componentsพิจารณาค่า eigenvalue (λ ) มากกว่า 1 เท่านั้น หากมีค่าน้อยกว่า 1 แสดงว่าปัจจัยนั้นมีรายละเอียดของข้อมูลน้อยกว่าตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งเพียงตัวเดียว หรือเป็น 0 แสดงว่าปัจจัยนั้นไม่สามารถดึงรายละเอียดของข้อมูลจากตัวแปรได้เลย (กัลยา วานิชย์บัญชา, 2552)
4. การวิเคราะห์รูปแบบองค์ประกอบบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนด้วยวิธี one-way ANOVA ที่ระดับนัยสำคัญที่ 0.05 และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple regression Analysis) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนกับองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษา ที่อาศัยความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงระหว่างตัวแปรมาใช้ในการทำนาย(บุญชม ศรีสะอาด, 2547)
5. การวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบรูปแบบการจัดกลุ่มองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ด้วยวิธีการวิเคราะห์จำแนกกลุ่มโรงเรียนด้วยเทคนิค cluster analysis แบบ two-step cluster analysis ที่สามารถคำนวณหาจำนวนกลุ่มที่ต้องการแบ่งในกรณีที่มีประชากรจำนวนมากได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องกำหนดจำนวนกลุ่มก่อน แต่สามารถแบ่งจำนวนกลุ่มให้มีจำนวนกลุ่มสูงสุด คือ 15 กลุ่ม และต่ำสุด คือสองกลุ่ม และดูค่าบรรทัดฐานของ Schwarz’s Bayesian Criterion (BIC) หรือ Akaike’s Information Criterion (AIC) ที่ตารางผลลัพธ์ คือ เมื่อค่าดังกล่าวน้อยที่สุดจะได้กลุ่มที่เหมาะสม หรือดูจากค่าratio of distance measures ที่ตารางผลลัพธ์คือ เมื่อค่าดังกล่าวมากที่สุด จะได้กลุ่มที่เหมาะสม เช่นเดียวกัน (นำชัย ศุภฤกษ์ชัยสกุล, 2553)
สรุปผลการวิจัย
จากผลการวิจัย สรุปได้ว่า รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนมีสองรูปแบบ คือ รูปแบบมุ่งเน้นการนิเทศ กับรูปแบบมุ่งเน้นเป้าหมาย สถานศึกษาสามารถที่จะนำไปใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น สถานศึกษาต้องยึดหลักการกระจายอำนาจในการตัดสินใจโดยมุ่งไปที่การตัดสินใจร่วมกันในการบริหารจัดการศึกษาของโรงเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และชุมชน จึงทำให้รูปแบบการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผลเป็นรูปแบบที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจวิจัย และเกี่ยวข้องกับการวิจัยดังต่อไปนี้
1. การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาข้อมูลจากตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ควรมีการศึกษากับตัวอย่างอื่นด้วย เช่น ตัวอย่างที่เป็นครูผู้สอน นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาร่วมด้วย เพื่อให้ครอบคลุมตัวอย่างมากยิ่งขึ้น
2. ควรศึกษาวิจัยในการนำรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนไปทดลองใช้ในการบริหารงานของโรงเรียนเพื่อสรุปภาพรวมของรูปแบบและความถูกต้องเหมาะสมของแต่ละองค์ประกอบ
3. ควรมีการศึกษาวิจัยถึงคุณลักษณะ หรือตัวบ่งชี้ของการบริหารโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพของโรงเรียน
4. ควรศึกษาวิจัยถึงสภาพปัญหา หรืออุปสรรค ของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการพัฒนาโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพต่อไป
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
ได้รับความรู้ในการทำวิจัย และขั้นตอนการดำเนินการ เกี่ยวกับองค์ประกอบและรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งมีองค์ประกอบต่างๆ เช่น การตั้งวิสัยทัศน์และเป้าหมาชัดเจน การมีภาวะผู้นำ จัดหลักสูตรที่เน้นวิชาการ การพัฒนาวิชาชีพครูและให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วม และนอกจากนี้สถานศึกษาต้องยึดการกระจายอำนาจเพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมอีกด้วย
องค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน นอกจากรูปแบบการบริหารแล้ว อีกปัจจัยหลักคือผู้บริหารสถานศึกษาผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถอย่างแท้จริงมีความเชี่ยวชาญ มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้โรงเรียนประสบความสำเร็จอย่างมืออาชีพ
มีกระบวนการการมีส่วนร่วมในการทำงาน พัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะติดตามการปฏิบัติงานของบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งและสิ่งที่ควรพัฒนาของบุคลากรแต่ละคน สนับสนุนให้บุคลากรแสวงหา แลกเปลี่ยนความรู้ เพิ่มทักษะความชำนาญในการปฏิบัติงานได้รับการยอมรับจากชุมชน จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ น่าดูน่าอยู่ น่าทำงาน ประสานงาน และแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน นำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน วางแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้พร้อมกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
เอกสารอ้างอิง /บรรณานุกรม
ชินภัทร ภูมิรัตน์. 2548. การจัดการความรู้ทางการศึกษา (Online). www.e-theses. lib.cmu.ac.th.,7 เมษายน 2555.
ณัฏฐ์วรดี คณิตินสุทธิทอง. 2555. ครูไทย: เตรียมพร้อมก่อนขึ้นสังเวียนอาเซียน.
เอกสารประกอบการประชุม มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี. กรุงเทพมหานคร. (อัดสำเนา).
ดิเรก วรรณเศียร. 2545. การพัฒนาแบบจำลองแบบสมบูรณ์ในการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานสำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา,จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Austin, G. R. and D. R. Thomas. 1990. Managing for improved school effectiveness:aninternational urvey. New York: School Organization.
Bardo, J. W. and J. J. Hartman. 1982. Urban Society: A Systematic Introduction. U.S.A.:F. E. Peacock
กลุ่มที่ 4
งานวิจัย : การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
การศึกษาระดับ : ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผู้วิจัย : พระสุธิศักดิ์ สุภกิจฺโจ (เขียวหวาน)
ปีการศึกษา : 2554
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
หลักธรรมาภิบาลถือเป็นหลักการบริหารงานที่สำคัญและจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารจัดการด้านการเรียนการสอนในสถานศึกษา และในระดับชั้นประถมศึกษานั้น ถือเป็นการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานในการที่จะสร้างประชาธิปไตย และหลักธรรมาภิบาลให้เกิดแก่เยาวชน ครู ผู้ปกครอง รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งถ้าผู้บริหารสถานศึกษาระดับประถมศึกษาได้นำหลักธรรมาภิบาลไปใช้อย่างต่อเนื่องและจริงจังแล้ว ย่อมจะเกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารจัดการโรงเรียน แต่ในสภาพของความเป็นจริงโดยเฉพาะในยุคของโลกาภิวัตน์ท่ีมีข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดน ที่เน้นวัตถุธรรม
มากกว่าคุณธรรม ก็ย่อมจะทำให้ผู้บริหารของบางโรงเรียนเปลี่ยนไปตามกระแสของการ
เปลี่ยนแปลงที่ยึดวัตถุมากกว่าจิตใจ ย่อมจะเกิดการบกพร่องในหน้าที่ หรือเกิดปัญหาในการ
บริหารโรงเรียน ก่อให้เกิดผลกระทบแก่เด็กและเยาวชนในอันที่จะพัฒนาการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ครูผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องก็ย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
๑.๒.๑ เพื่อศึกษาการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
๑.๒.๒ เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก
ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
๑.๒.๓ เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลโรงเรียนขยาย
โอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
๑. ทำให้ทราบการบริหารการศึกษา ตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
๒. ทำให้ทราบการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
๓.ทำให้ทราบการศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
๑ ขอบเขตด้านเนื้อหา การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภบาล โรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งกำหนดหลักพื้นฐานการ บริหารตามหลักธรรมาภิบาล ๖ ประการ
๒ ขอบเขตด้านประชากร ประชากรที่ศึกษาได้แก่ ครูที่ทำหน้าที่สอนหนังสือโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน ๑๓ แห่ง ซึ่งมีครูจำนวน ๑๖๐ คน
๓ ขอบเขตด้านพื้นที่ เป็นการศึกษาเฉพาะ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ที่ตั้งอยู่ใน อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน ๑๓ โรงเรียน
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
- การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
ตัวแปรตาม
- ประชากรที่ศึกษาเป็นการศึกษาครูผู้ทำหน้าที่สอนหนังสือในโรงเรียนขยายโอกาสทาง การศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอ เลาขวัญ จังหวัด กาญจนบุรีจำนวน ๑๓ โรงเรียนซึ่งปรากฏในปีการศึกษา ๒๕๕๔ รวมครูทั้งหมดจำนวน ๑๖๐ คน
นิยามศัพท์
๑> เพศ หมายถึง เพศของครูผู้ตอบแบบสอบถาม โดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ เพศชายและเพศหญิง
๒ >อายุ หมายถึง อายุของครูผู้ตอบแบบสอบถาม โดยนับอายุเต็มปฏิทินจนถึงปีที่ ตอบแบบสอบถาม
๓ >วุฒิการศึกษา หมายถึง ระดับการศึกษาสูงสุดของครูผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งจำแนกเป็น ๓ ระดับ คือ ปริญญาตรีปริญญาโท และปริญญาเอก
๔ >ประสบการณ์สอน หมายถึง ประสบการณ์ในการทำงานของครูแบ่งออกเป็น ๓ ระดับคือ ประสบการณ์สอนน้อยกว่า ๕ ปีประสบการณ์สอน ๕ – ๑๐ ปีและประสบการณ์สอน มากกว่า ๑๐ ปีขึ้นไป ๖
๕ >ระดับชั้นที่สอน หมายถึง ระดับชั้นที่ครูผู้ตอบแบบสอบถามสอนประจำอยู่ ในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่๔ – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๓
๖ >การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล หมายถึงการดำเนินงานต่างๆที่เป็น ภารกิจของโรงเรียนประถมศึกษาทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่การบริหารงานวิชาการการบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป โดยยึดหลักคุณธรรมทั้ง ๖ ด้านของโรงเรียนขยาย โอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
สมมุติฐานการวิจัย
๑ ครูเพศต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกัน
๒ ครูอายุต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกัน
๓ ครูมีวุฒิการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกัน
๔ ครูมีประสบการณ์สอนต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกัน
๕ ครูสอนระดับชั้นต่างกันมีความคิดเห็นต่อ
งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
สมยศ นาวีการ ได้กล่าวถึงแนวคิดการบริหารไว้ว่า การบริหารงานไม่ว่าจะเป็นรูปแบบผู้นำโครงสร้างระบบราชการและหน้าที่ของผู้บริหารในองค์การแห่งหนึ่งสามารถนำมาประยุกต์ไปใช้กับองค์การ เรียกว่า วิธีดีที่สุด (One Best Way) อย่างไรก็ตามผู้บริหารในแต่ละองค์การจะเผชิญกับสถานการณ์เฉพาะที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีหลักสากลใดที่สามารถใช้ได้กับทุกปัญหาผู้บริหารต้องศึกษาการบริหาร โดยมีประสบการณ์จากกรณีศึกษา (Case Study)จำนวนมากและวิเคราะห์ว่าวิธีการใดที่สามารถใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ศึกษาเป็นการศึกษาครูผู้ทำหน้าที่สอนหนังสือในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรีจำนวน ๑๓ โรงเรียนซึ่งปรากฏในปีการศึกษา ๒๕๕๔ รวมครูทั้งหมดจำนวน ๑๖๐ คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
๑. แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม
๒. เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
การดำเนินการวิจัย
การวิจัยเรื่อง การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งผู้วิจัยได้นำเสนอขั้นตอนการดำเนินการวิจัยดังต่อไปนี้
๑ ประชากรที่ศึกษา
๒ การสร้างเครื่องมือในการวิจัย
๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล
๕ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการวิจัย ในการ วิจัยครั้งนี้มีสถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
ค่าร้อยละ (Percentage)
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (μ)
ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
สถิติที่ใช้ในการในการทดสอบสมมติฐานประกอบด้วยค่าสถิติประกอบค่า t และ การทดสอบค่า F โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ P. = ๐.๐๕ และ One-Way ANOVA.
สรุปผลการวิจัย
การศึกษาเรื่องการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทาง
การศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี สรุปได้ดังนี้
๕.๑.๑ ข้อมูลทั่วไปของครูผู้ตอบแบบสอบถาม
ครูผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๐ คน ส่วนใหญ่เป็นหญิง จำนวน ๙๗ คน
คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๖ เป็นชาย จำนวน ๖๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๔
๕.๑.๒ ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี โดยรวม อยู่ใน ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าครูมีความเห็นอยู่ในระดับมากทุกข้อ
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ผู้บริหารศึกษาควรกำหนดนโยบาย มีแผนแม่บทอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรมีกระบวนการตรวจสอบได้
2. ข้อเสนอแนะเชิงการปฏิบัติ
ควรนำผลการศึกษานี้เป็นข้อมูลเพื่อประกอบการวานแผนการปฏิบัติงานพัฒนาการบริหารการศึกษาให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยต่อไป
ควรศึกษาการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ของผู้บริหารสถานศึกษา
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
จากความรู้ที่ได้จากวิจัย องค์ความรู้ที่ได้รับจากแนวทางการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาการบริหารงานที่
มีประสิทธิภาพของผู้บริหารและครูในการบริหารสถานศึกษานั้นๆและยังได้รู้ถึงเครื่องมือที่จัดทำการทำงานด้านต่างๆอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง /บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย :
ก. ข้อมูลปฐมภูมิมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
ข. ข้อมูลทุติยภูมิ
(๑) หนังสือ :
กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคล. กรุงเทพมหานคร:กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๖.
(๒) บทความและวารสาร :
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. “การพัฒนาประชาคมเมืองเพื่อความเป็นเมืองน่าอยู่”, รัฐสภาสาร. ปีที่๔๑ ฉบับที่๒ (กันยายน ๒๕๔๑) : ๑๗ – ๑๙.
(๓) วิทยานิพนธ์ และการค้นคว้าแบบอิสระ :
กัลป์ยกร มั่นถาวรวงศ์. “บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาต่อการส่งเสริมการวิจัยในชั้นเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในกรุงเทพมหานคร”. ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต. (การบริหารการศึกษา) คณะครุศาสตร์ : สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา, ๒๕๔๕.
กลุ่มที่ 5
งานวิจัย เรื่อง การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่
การศึกษาระดับ ประถมศึกษา
มหาวิทยาลัย หาดใหญ่
ผู้วิจัย ลดารัตน์ ศศิธร
ปีการศึกษา 2558
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1
กระทรวงศึกษาธิการมุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาและสร้างโอกาสให้คนไทยมีการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการศึกษาโดยกำหนดเป้าหมายการศึกษาอย่างชัดเจน ที่จะทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนเพื่อให้เป็นคนที่มีคุณภาพ มีความพร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีจิตสำนึกของความเป็นไทย และตระหนักรู้ถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีไทย และตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศ
ประเด็นที่ 2
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานให้มีมาตรฐานตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2545 ในมาตรา 4 ซึ่งกำหนดว่า “มาตรฐานการศึกษา” หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ คุณภาพที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสำหรับการส่งเสริมและกำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมิน และการประกันคุณภาพทางการศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2555, น.1-4) ในปีพ.ศ.2554 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนในสังกัดจำนวน 31,116 โรงเรียน จำแนกขนาดของโรงเรียนตามจำนวนนักเรียน เป็น 4 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนลงมา ขนาดกลาง มีจำนวนนักเรียน ตั้งแต่ 121 ถึง 600 คน ขนาดใหญ่
มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 601 ถึง 1,500 และขนาดใหญ่พิเศษ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 1,501 คนขึ้นไป
ประเด็นที่ 3
จากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน(2554,น.1-5) พบว่าคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กส่วนมากขาดประสิทธิภาพ และมีคุณภาพค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ ปัญหาด้านกานลงทุนการศึกษาพบว่าการลงทุนการศึกษากับผลตอบแทนที่โรงเรียนขนาดเล็กจะได้รับไม่คุ้มเปรียบเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ส่วนปัญหาด้านการลงทุนพบว่าการลงทุน,การศึกษากับผลตอบแทนโรงเรียนขนาดเล็กได้รับไม่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ทั้งนี้เนื่องจากโรงเรียนขนาดเล็กขาดปัจจัยต่างๆมากถ้าหากโรงเรียนเหล่านี้มีความพร้อมด้านบุคลากรงบประมาณสื่อวัสดุอุปกรณ์ต่างมาส่งเสริมสนับสนุนในการบริหารจัดการโรงเรียนให้ได้ตามมาตรฐาน หลักสูตรกำหนดการลงทุนต้องสูงมากและไม่คุ้มกับการลงทุนในด้านขวัญและกำลังใจจากบุคลากรพบว่าขวัญขวัญและกำลังใจในโรงเรียนขนาดเล็กนั้นด้อยกว่าโรงเรียนขนาดกลางพลังในการคิดร่วมทำงานร่วมกันมีน้อยขาดความพร้อมในการปฎิบัติขาดความพร้อมการเรียนการสอนขาดแหล่งวิชาการตลอดจนขาดความก้าวหน้าหน้าที่การงานมีน้อยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงมีนโยบายพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กโรงการรวบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในปีพ.ศ.2554 จำนวน14,816โรงเรียนและมีแนวโน้มเพิ่มต่อเนื่องเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้มีคุณภาพเพิ่มประสิทธิภาพการ
ประเด็นที่ 4
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากระบี่ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนทั้งหมด 45.78 (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2557) ประสบปัญหากาจัดการเรียนการสอนเช่นเดียวกับโรงเรียนขนาดเล็กจึงได้นำนโยบายดังกล่าวมาจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 3รูปแบบ คือ 1) โรงเรียนร่วมทุกระดับชั้นมีจำนวน 21 โรง 2) โรงเรียนร่วมบางระดับชั้น มีจำนวน 6 โรง 3) โรงเรียนสอนตามปกติมีจำนวน 6 โรง พบว่าข้อมูลยังไม่ชัดเจนในการบริหารการเงิน พัสดุและทรัพย์สินและไม่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งดำเนินการ จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามกรอบบริหารและการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ ศ. 2542
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. ศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของผู้บริหารการศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. เปรียบเทียบการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษาและลักษณะของโรงเรียน
3. ศึกษาความพึงพอใจ การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน และนักเรียน
4. รวบรวมปัญหาและข้อเสนอแนะ ในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองนักเรียน และนักเรียน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ด้านความรู้
- ทำให้ทราบความคิดเห็นของผู้บริหารการศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ต่อการบริหารการจัดการขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักงานเขตการศึกษาประถมศึกษากระบี่
- ทำให้ทราบถึงความพึงพอใจของ ผู้บริหารการศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองและนักเรียน ต่อการบริหารการจัดการขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักงานเขตการศึกษาประถมศึกษากระบี่
2.ด้านการนำไปใช้
สามารถนำข้อมูลที่ได้เสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้แก้ไขปัญหาหรือเป็นแนวทางประกอบการพิจารณาคุณภาพโรงเรียนที่ดำเนินงานจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
1. ขอบเขตเนื้อหา
ผู้วิจัยมุ่งศึกษา การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ในช่วงปีการศึกษา 2555-2556 ตามกรอบการบริหารและการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาต พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม
ฉบับที่2) พ.ศ. 2545 ซึ่งครอบคลุมภารกิจ 4 ด้าน ดังนี้ (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2555, น.50-55)
1.1ด้านการบริหารจัดการทั่วไป
1.2ด้านการบริหารการเงิน พัสดุ และทรัพย์สิน
1.3ด้านการบริหารงานบุคคล
1.4ด้านการบริหารงานวิชาการ
2.ขอบเขตด้านประชาการและกลุ่มตัวอย่าง
2.1 ประชาการในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งไม่รวมผู้แทนครูและผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 ของโรงเรียน เรียนร่วม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ปีการศึกษา 2557 จำนวน 18 โรงเรียน จำนวน 1,799 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนจำนวน 143 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานจำนวน 126 คน ผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 1,125 คน และนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 5-6 จำนวน 405 คน
2.2 กลุ่มคงตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งไม่รวมผู้แทนครูและผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครองนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 ของโรงเรียน เรียนร่วมสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ปีการศึกษา 2557 กำหนด ขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเคร็จซีและมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 317 คน แบ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน 25 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 22 คน ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 198 คน และนักเรียน จำนวน 72 คน สุ่มแบบแบ่งชั้น โดยใช้ลักษณะของโรงเรียนเป็นตัวแบ่งชั้น จากนั้นสุ่มอย่างง่าย เทียบสัดส่วนจำนวนผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและนักเรียนแต่ละโรงเรียน
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ คือข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย
1.ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน
-ประสบการณ์ในการบริหารงานในสถานศึกษา
-ลักษณะของโรงเรียน
2.คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
-ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษา , ลักษณะของโรงเรียน
3.ผู้ปกครองนักเรียน
-ความสัมพันธ์กับนักเรียน,อายุ,เพศ,วุฒิการศึกษา,ลักษณะของโรงเรียน
4.นักเรียน
-เพศ
-ระดับชั้น
-ลักษณะของโรงเรียน
ตัวแปรตาม
1.การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามภารกิจ 4 ด้าน ได้แก่
-ด้านการบริหารจัดการทั่วไป
-ด้านการบริหารงานการเงิน พัสดุ และทรัพย์สิน
-ด้านการบริหารงานบุคคล
-ด้านการบริหารงานวิชาการ
2.ความพึงพอใจในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
สมมุติฐานการวิจัย
ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีตำแหน่ง ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษาและลักษณะของโรงเรียนต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่แตกต่างกัน
งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ Scott (1997) ได้เสนอแนวคิดในเรื่องการจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อการทำงานที่จะให้ผลเชิงปฏิบัติ มีลักษณะ ดังนี้
1.งานควรมีส่วนสัมพันธ์กับความปรารถนาส่วนตัวงานนั้นจะมีความหมายสำหรับผู้ทำ
2.งานนั้นต้องทีการวางแผนและวัดความสำเร็จ โดยใช้ระบบการทำงานและการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
3.เพื่อให้ได้ผลในการจูงใจภายในเป้าหมายของงาน จะต้องมีลักษณะดังนี้
-คนทำงานมีส่วนในการตั้งเป้าหมาย
-ผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับความสำเร็จในการทำงานโดยตรง
-งานนั้นสามารถทำให้สำเร็จได้
Herzberg (1959
ได้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจที่ศึกษาถึงสาเหตุจูงใจให้คนทำงาน โดยมี 2 ปัจจัย ที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจในการทำงาน คือ
1.ปัจจัยค้ำจุน(Hygiene Factors)
2.ปัจจัยกระตุ้น (Motivation Factors)
Maslow(1970)
ได้นำเสนอทฤษฎีลำดับขั้นตอนของความต้องการพื้นฐาน ดังนี้
1.ความต้องการทางด้านร่างกาย
2.ความต้องการความปลอดภัย
3.ความต้องการทางสังคม
4.ความต้องการมีฐานะ
5. ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน143 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไม่รวมครูและผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน126คน ผู้ปกครอง จำนวน1,125คนและนักเรียนของโรงเรียนร่วมสังกัด 18 โรง จำนวน 405 คน รวมทั้งสิ้น 1,799 คน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2017)
กลุ่มตัวอย่าง
จำนวน317 คน สุ่มแบ่งชั้นโดยใช้ลักษณะของโรงเรียนเป็นตัวแบ่งชั้น แล้วจึงเลือกแบบเจาะจง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบสอบถามจำนวน 3 ชุด
ชุดที่ 1 แบบสอบถามผู้บริหาร สถานศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ชุดที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม
ชุดที่3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม
การดำเนินการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจเพื่อการศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่และศึกษาความพึงพอใจของผู้บริหารสถาศึกษาครูผู้สอนคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานผู้ปกครองนักเรียนและนักเรียนของโรงเรียนที่ดำเนินการจัดการเรียนร่วมช่วงปีการศึกษา2555-2556ซึ่งผู้วิจัยได้เนินการต่อไปนี้
1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2.เครื่องมือในการวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
3.วิธีการสร้างเครื่องมือ
4.การเก็บรวบรวมข้อมูล
5.การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยนำแบบสอบถามที่ได้รับคืนมาทั้งหมดมาตรวจสอบความสมบูรณครบถ้วนของคำตอบในแบบสอบถามแต่ละชุดแล้วนำมาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปดังนี้
แบบสอบถามชุดที่1
ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามได้แก่ตำแหน่งประสบการณ์ในการปฎิบัติงานในสถานศึกษาลักษณะของโรงเรียนวิเคราะห์โดยหาค่าความถี่,ละค่าร้อยละ
แบบสอบถามชุดที่2
ข้อมูลทั่วไปของผู้ปกครองของนักเรียนได้แก่ความสัมพันธ์กับนักเรียนอายุเพศวุฒิการศึกษาและลักษณะของโรงเรียน วิเคราะห์โดยหาค่าความถี่,ละค่าร้อยละ
แบบสอบถามชุดที่3
ข้อมูลทั่วไปของนักเรียนความพึงพอใจของนักเรียนโดยการจัดการเรียนร่วมหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตนฐานเทียบกับเกณฑ์สมบูรณ์วิเคราะห์ข้อมูลความคิดเห็นปัญหาข้อเสนอแนะ
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1.สถิติที่ใช้หาคุณภาพเครื่องมือได้แก่
1.1ตรวจสอบความตรงขิงเนื้อหาโดยการหาค่า IOC
1.2หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยใช้สูตรการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค
2.สถิติพื้นฐานได้แก่ค่าร้อยละค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานร้อยละค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน
3.สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐานใช้การทดสอบค่าที(t-test) แบบกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอิสระจากกันสำหรับเปรียบเทียบความคิดเห็นผู้บริหาร
สรุปผลการวิจัย
ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วมในภาพรวมและหลายด้านอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณารายข้อในด้านการบริหารจัดการทั่วไป พบว่าผู้บริหารจัดการศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความคิดเห็นว่าในการบริหารจัดการเรียนร่วมได้มีการดำเนินงานเรื่องการเดินทางไปเรียนร่วมกับนักเรียนและ สามารถดำเนินการได้ตามแนวปฎิบัติและครอบคลุมนักเรียนทุกคนอย่างสูงสุดเท่ากัน
ข้อเสนอแนะการวิจัย
1.)จากการวิจัยพบว่าผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษา มีความเห็นว่าการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมในด้านการบริหารการเงิน พัสดุ และทรัพย์สิน ด้านอาคารสถานที่ของโรงเรียนมารวมได้รับการดูแล และใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าต่ำกว่าด้านอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษา จึงมีนโยบายและมีการบริหารจัดการเรียนร่วมให้เกิดประโยชน์ คุ้มค่าโดยร่วมกับชุมชนหรือหน่วยงานนอก
2.)จากการวิจัยพบว่าผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีความพอใจในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมโดยนโยบาย และการบริหารจัดการเรียนร่วมของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ต่ำกว่าด้านอื่นๆดังนั้น ควรมีกรอบหรือแนวปฏิบัติให้ชัดเจน
3.)จากการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมในด้านห้องเรียน ห้องปฏิบัติการและห้องคอมพิวเตอร์ให้มีความเพียงพอและเอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนในด้านอื่นๆ จึงควรปรับปรุงห้องคอมพิวเตอร์ให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนมากขึ้น
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
ในการทำวิจัยในครั้งนี้กลุ่มพวกเราได้รับทั้งความรู้ของเนื้อหาที่มาของการทำวิจัย การแก้ปัญหาต่างๆในเรื่องของการทำวิจัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งได้เห็นตัวอย่างรายละเอียดของข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเนื้อหาการวิเคราะห์ข้อมูล การหาสถิติ รวมไปถึงขั้นตอนการทำวิจัยรวมถึงเครื่องมือในการทำแบบสอบถาม
เอกสารอ้างอิง / บรรณานุกรม
กลุ่มที่ 6
งานวิจัย เรื่อง การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผู้วิจัย นางสาว ยุกตนันท์ หวานฉ่ำ
ปีการศึกษา 2555
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 สภาพของสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมประเทศไทยเป็นยุค
ที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทันสมัยเข้ามามีบทบาทพร้อมกับวัฒนธรรม
ของชาติตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งการศึกษาถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในทุกๆด้าน รวมทั้งการแก้ปัญหาต่างๆในสังคม เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที่ช่วยให้คนได้พัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ตลอดเวลา โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคนไทยให้มีความเจริญงอกงามทั้งทางด้านสติปัญญา ความรู้ คุณธรรมความดีงามในจิตใจ มีความสามารถที่จะทำงาน และคิดวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง สามารถเรียนรู้แสวงหาความรู้ตลอดจนให้ความรู้อย่างสร้างสรรค์(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี, 2553: 3)
ประเด็นที่ 2 การบริหารสถานศึกษา เป็นภารกิจหลักของผู้บริหารที่จะต้องกำหนดแบบแผนวิธีการและขั้นตอนต่างๆ ในการปฏิบัติงานไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะให้งานนั้นบรรลุจุดหมายที่วางไว้การบริหารงานจะต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ทุกประการ เพราะการดำเนินงานต่างๆ มิใช่เพียงกิจกรรมที่ผู้บริหารจะกระทำ เพียงลำพังแต่ยังมีผู้ร่วมงานอีกหลายคนที่สามารถทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ (ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2544: )
ประเด็นที่ 3 ประสิทธิผลของโรงเรียน เกิดจากสภาพทางสังคมบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวผู้เรียนที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้อย่างเหมาะสม มีความพร้อมในด้านทรัพยากรต่างๆเอกสาร สื่อวัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพและประสิทธิภาพ มีงบประมาณเพียงพอ และมีทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้อย่างดี ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ และทักษะในด้านต่างๆ เพื่อให้กระบวนการจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (พิมพรรณ สุริโย, 2552: 27)
ประเด็นที่ 4 การบริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้านให้มีคุณภาพสอดคล้องกับประสิทธิผลของโรงเรียนและความต้องการของบุคคลและสังคมนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการพัฒนาคนที่สำคัญของประเทศโดยผู้บริหาสถานศึกษามีอำนาจในการจัดการศึกษาของโรงเรียน มีหน้าที่และรับผิดชอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับงานวิชาการ งานงบประมาณ งานบุคคล และงานทั่วไป โดยเป็นไปตามความต้องการของนักเรียนและชุมชน (วิรัตน์ มะโนวัฒนา, 2548: 26)
ประเด็นที่ 5 โรงเรียนที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา ปทุมธานีเขต 1 เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีการบริหารจัดการศึกษาขั้นฐานของพื้นที่ทั้ง 4 อำเภอประกอบด้วย อำเภอเมืองปทุมธานี อำเภอสามโคก อำเภอลาดหลุมแก้ว และอำเภอคลองหลวง ซึ่งโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง มีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด34 โรงเรียน ในการบริหารสถานศึกษามุ่งส่งเสริมให้ประชากรทุกคนได้รับโอกาสในการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปีอย่างทั่วถึงและได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ พัฒนาผู้เรียนให้มีนิสัยใฝ่รู้ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต(สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1, ออนไลน์, 2554
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
2. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ในการนำไปใช้ในการวางแผนการจัดทำหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของสถานศึกษาในอำเภอ คลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
2.เป็นแนวทางให้สถานศึกษาประชาชน ชุมชน และหน่วยงานต่างๆ ในอำเภอลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ได้นำรูปแบบไปพิจารณาปรับปรุงบทบาท หน้าที่ ในการบริหารสถานศึกษา ให้มีความชัดเจนและมีความเหมาะสม
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 โดยมีขอบเขตการวิจัยดังนี้
ขอบเขตด้านเนื้อหา ขอบข่ายงานบริหารสถานศึกษา 4 ด้านตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 คือ
ด้านการบริหารวิชาการ
ด้านการบริหารงบประมาณ
ด้านการบริหารงานบุคคลและ
ด้านการบริหารทั่วไป
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี, 2553: 14)ประสิทธิผลของโรงเรียน ได้ศึกษาตามกรอบแนวคิดของฮอยและเฟอร์กูสัน (Hoy and Ferguson, 1985)
แบ่งเป็น 5 องค์ประกอบ คือ
- ความใฝ่รู้รักการอ่าน แสวงหาความรู้ดว้ยตนเองของนักเรียน
- ความพึงพอใจในการทำงานของครู
- ความสามารถในการใช้สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีของครู
- ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและ
- ความสามารถในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายในและภายนอก
ขอบเขตด้านประชากร
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ครูผู้สอน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ในปี การศึกษา 2554 จ านวน 34 โรงเรียน รวมจำนวน 494คน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1, ออนไลน์, 2554)
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จของ เครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
1. การบริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ
ก) ด้านการบริหารวิชาการ
ข) ด้านการบริหารงบประมาณ
ค) ด้านการบริหารงานบุคคล
ง) ด้านการบริหารทั่วไป
2. ประสิทธิผลของโรงเรียน มี 5 องค์ประกอบ คือ
ก) ความใฝ่รู้รักการอ่าน แสวงหาความรู้ดว้ยตนเองของนกัเรียน
ข) ความพึงพอใจในการทำงานของครู
ค) ความสามารถในการใช้สื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีของครู
ง) ความสามารถในการจดัสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
จ) ความสามารถในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายในและภายนอก
นิยามศัพท์เฉพาะ
1.การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการในการทำงานโดยมีผู้บริหารสถานศึกษาปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นระบบในสถานศึกษาที่ต้องดำเนินการ 4 ด้าน คือด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารทั่วไป
2.ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ความสามารถของผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนที่ทำงานร่วมกันจนสามารถทำให้นักเรียนมีความใฝ่ รู้รักการอ่าน รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งด้านการบริหารและการเรียนการสอนจนบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่โรงเรียนกำหนดไว้
สมมุติฐานการวิจัย
1. การบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1อยู่ในระดับมาก
2. ประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 อยู่ในระดับมาก
3. การบริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
อุบล เพียรพิทักษ์ (2548: 13)กล่าวว่าการบริหารสถานศึกษา หมายถึง การบริหารงานใน สถานศึกษาทุกๆ ด้าน สำหรับรูปแบบและวิธีการในการบริหารงานแต่ละสถานศึกษาจะแตกต่างกันไปตามความรู้ความสามารถในการใช้ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารงานของผูบ้ ริหารแต่ละภารกิจ ของผู้บริหารสถานศึกษา
มนทิพย์ทรงกิติพิศาล(2552: 33) ไดก้ล่าวถึงการบริหารสถานศึกษา หมายถึง การจัด การส่งเสริม ช่วยเหลือกของผู้เกี่ยวข้องที่จะผลักดัน ให้แผนยทุธศาสตร์ของสถานศึกษาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 และที่แก้ไขพิ่มเติม (ฉบับ2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553ได้กำหนดสาระสำคัญไว้ในมาตรา 39 ว่า ให้กระทรวงกระจายอำนาจ การบริหารและการจัดการศึกษา โดยแบ่งขอบข่ายงานบริหารสถานศึกษาไว้ 4 ด้าน (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี, 2553:14) คือ
1) ด้านการบริหารวิชาการ
2) ด้านการบริหารงบประมาณ
3) ด้านการบริหารงานบุคคล
4) ด้านการบริหารทั่วไป
กระทรวงศึกษาธิการ (2550:30-32) ได้กำหนดว่า การบริหารจัดการของสถานศึกษาซึ่งมีหน้าที่ให้บริการการศึกษาแก่ประชาชนและเป็นสถานศึกษาของรัฐจึงนำหลักการว่าด้วยบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีซึ่งที่เรียกทั่วไปว่าธรรมาภิบาล มาบูรณาการในการบริหารและจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับโรงเรียนที่เป็นนิติบุคคล หลักการดังกล่าวได้แก่
1) หลักนิติธรรม
2) หลักคุณธรรม
3) หลักความโปร่งใส
4) หลักการมีส่วนร่วม
5) หลักความรับผิดชอบ
6) หลักความคุ้มค่า
คิมบรอจห์และนันเนอรี(Kimbrough and Nunnery, 1976: 164 อ้างถึงใน อุบล เพียรพิทักษ์, 2548: 14) ได้แบ่งงานบริหารสถานศึกษาเป็น 8 งานด้วยกันคือ
1) งานบริหารหลักสูตรและการสอน
2) งานบริหารเศรษฐกิจการศึกษา
3) งานธุรการ
4) งานบริหารบุคคล
5) งานกิจการเรียน
6) งานสภาวะผู้นำด้านความสัมพันธ์กับชุมชน
7) งานด้านการประเมินผลการวิจัย
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ครูผู้สอน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1 ในปี การศึกษา 2554 จำนวน 34 โรงเรียน รวมจำนวน 494 คน
กลุ่มตัวอย่าง
ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ผู้วิจัยปรับปรุงขึ้น โดยพิจารณาภายใต้กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีได้จากการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวมทั้งให้สอดคล้องกับคำจำกัดความในการวิจัยที่ได้กำหนดไว้แบ่งเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 เป็ นแบบสำรวจรายการ (Checklist) สอบถามเกี่ยวกับสภาพทั่วไป
1. แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา เป็นแบบสอบถามแบบ มาตราวัดประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ตามแบบลิเคอร์ท (Likert Scale) โดยกา หนดค่าการตอบ แบบสอบถามดังนี้ 5 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติมากที่สุด 4 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติมาก 3 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติปานกลาง 2 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติน้อย 1 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติน้อยที่สุด
2. แบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 เป็นแบบสอบถามแบบมาตรวัดประเมินค่า โดยกำหนดค่าการตอบแบบสอบถามดังนี้ 5 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติมากที่สุด 4 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติมาก 3 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติปานกลาง 2 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติน้อย 1 หมายถึง มีระดับการปฏิบัติน้อยที่สุด
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลตามขั้นตอนและวิธีการดังนี้
ประสานงานกับสำนักงานบัณฑิตศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพื่อทำหนังสือขอความอนุเคราะห์เก็บข้อมูลการวิจัย ถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปฐมศึกษาปทุมธานี เขต 1 เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานศึกษา
จัดส่งแบบสอบถามพร้อมหนังสือขอความอนุเคราะห์ ไปยังสถานศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตอำเภอคลองหลวง เพื่อขออนุญาตในการเก็บรวบรวมข้อมูล และกำหนดวัน เวลา ขอรับแบบสอบถามคืนภายใน 15 วัน
เก็บรวบรวมและติดตามแบบสอบถามที่ยังไม่ได้รับคืน และแจกแบบสอบถามด้วยตนเองอีกครั้ง ในรายที่แบบสอบถามสูญหายหรือไม่สมบรูณ์ โดยขยายเวลาอีก 5 วัน
นำแบบสอบถามที่ได้รับคืนมาตรวจสอบความสมบูรณ์
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ โปรแกรมสำเร็จรูปด้วยคอมพิวเตอร์นำมาใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้
1. นำแบบสอบถามตอนที่1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่ว ไปของผู้ตอบแบบสอบถามนำมาแจงความถี่ (Frequency) แล้วคำนวณหาค่าร้อยละ (Percentage) และนำเสนอในรูปแบบตารางประกอบความเรียง
2. นำแบบสอบถามตอนที่2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา ที่ตรวจให้ คะแนนตามเกณฑ์น้ำหนัก 5 ระดับ จากนั้นนำไปบัน ทึกแล้ววิเคราะห์หาค่าคะแนนเฉลี่ย (X) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) นำผลการวิเคราะห์ที่ได้มาแปลความหมายจำแนกเป็นในภาพรวม และจำแนกแยกเป็นแต่ละรายด้าน
3. นำแบบสอบถามตอนที่3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน ที่ตรวจให้ คะแนนตามเกณฑ์น้ำหนัก 5 ระดับ จากนั้นนำไปบัน ทึก แล้ววิเคราะห์หาค่าคะแนนเฉลี่ย และ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานมาแปลความหมายและจำแนกเป็นรายด้าน
4. นำแบบสอบถามตอนที่2 และตอนที่3 นำมาเข้าโปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อคำนวณ และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์(r)ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับ ประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอ คลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1โดยใช้การทดสอบด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันในภาพรวมและแยกเป็นรายด้าน และนำเสนอในรูปแบบตารางประกอบความเรียง
ข้อเสนอแนะ
จากผลการวิจัยพบว่าการบริหารสถานศึกษาในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานีเขต 1 ด้านการบริหารงบประมาณ มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในอันดับสุดท้ายของทุกด้าน ดังนั้น ทางสถานศึกษาต้องมีการศึกษา วิเคราะห์การจัดและการพัฒนาการศึกษาในการจัดสรรงบประมาณของสถานศึกษาตามกรอบทิศทางของเขตพื้นที่การศึกษาและตามความต้องการของสถานศึกษา ซึ่งบุคลากรทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการวางแผนกลยุทธ์มีการกำหนดแผนพัฒนาทั้งระยะสั้นและระยะยาวรวมถึงมีการจัดทำข้อมูลทรัพยากรเพื่อการศึกษา การจัดหาเงินงบประมาณ และการระดมทุนเพื่อพัฒนการศึกษาของสถานศึกษา โดยมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา มีการจัดระบบสวัสดิการมีการจัดทำระบบฐานข้อมูลสินทรัพย์ในการจัดหารายได้และผลประโยชน์ของสถานศึกษา
รวมทั้งมีการตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลและรายงานผลการใชง้บประมาณของสถานศึกษาให้ได้ทราบโดยทั่วกันจากผลการวิจัยพบว่าประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลอวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานีเขต 1 พบว่าความใฝ่รู้รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในอันดับ สุดท้ายของทุกด้าน ดังนั้นทางสถานศึกษาควรส่งเสริมให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า และสืบค้นข้อมูลด้วยตนเอง ฝึกให้นักเรียนมีความรับผิดชอบและมีความกระตือรือร้นในการทำงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย
จะเห็นได้ว่า ในการที่จะเป็นนักบริหารที่ดีในอนาคตนั้นจะต้องมีคุณลักษณะหลายอย่างที่เป็นแบบใหม่แนวใหม่ และแบบผสมผสานที่ไม่มีลักษณะเฉพาะที่ตายตัว และสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาแล้ว ก็คงไม่อยู่ในข้อยกเว้นเช่นกันการที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บริหารในระดับมืออาชีพนั้น ต่อไปคงต้องเป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกล มีมุมมองในการบริหารการทำงานเชิงกลยุทธ์ รู้จักการประมวลวิเคราะห์ ประเมินและตัดสินใจและยังต้องดูแล รับผิดชอบการดำเนินงานตามปกติของสถานศึกษาในทุกด้านให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการบริหารคุณภาพโครงการพัฒนาวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษาประจำการ (ชุดวิชาภาวะผู้นำทางการศึกษา.กรุงเทพ : สำนักงานส่งเสริมวิชาชีพ สำนักงานเลขานุการคุรุสภา,2549.จริยะ วิโรจน์ และคณะ การวิจัยเชิงประเมินผลโรงเรียนปฏิรูปการเรียนรู้ เขตการศึกษา 5.ราชบุรี :สำนักผู้ตรวจราชการประจำเขตตรวจราชการที่ 4 กระทรวงศึกษาธิการ, 2546.จำลอง นักฟ้อน เส้นทางสู่นักบริหารการศึกษามืออาชีพ)
เอกสารอ้างอิง/บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ 2550. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 พร้อมกฏหมายที่เกี่ยวข้อง และพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545. กรุงเทพฯ โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.)
กรุณา บุญแก้ว 2552 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับประสิทธิผลของโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอวังสมบรูณ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระแก้ว เขต 1
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัญฑิต. มหาวิทยาลัยบรูพา. กลุ่มนโยบายและแผน 2554. แผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ 2554. สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาปฐมศึกษาปทุมวัน เขต 1
ขวัญใจ เกตุอุดม 2554. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัญฑิต. มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์
- การประยุกต์ใช้
สามารถนำคำคมที่เพื่อนได้นำเสนอ ไปเป็นข้อคิดที่พัฒนาชีวิตตนเองได้ รวมถึงการนำเสนอวิจัยต่างๆทำให้เกิดควมเข้าใจมากขึ้นในระดับหนึ่งสามารถนำมาใช้ในการเรียนได้จริง
- การประเมิน
ตนเอง : มีการเตรียมการนำเสนอวิจัยมาเป็นอย่างดี ให้ความร่วมมือในชั้นเรียน มีการจดบันทึก
เพื่อน : เพื่อนๆเตรียมการนำเสนอวิจัยมาเป็นอย่างดี ทำให้บรรยาการศในชั้นเรียนไม่หน้าเบื่อ
อาจารย์ : อาจารย์ได้มีการเพิ่มเติมความรู้ให้ในสิ่งที่นักศึกษาขาด ทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
E N D












ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น